พุทธะจี้กง ประทับทิพย์ญาณ
ศาสนากล่อมเกลาคน มีความสำคัญยิ่ง
บำเพ็ญจริงฉุดช่วยคน กายวิสุทธิ์ดุจหยกใส
สงฆ์ปลอมใฝ่กามา หลอกคนว่าธรรมะไซร้
จมลงอเวจีไป ไม่ถ้วนครั้งนับเกิดตาย
พุทธะจี้กง : มองดูโลกโลกีย์นี้ จิตใจคนช่างเคว้งคว้าง ใจธรรมร่อแร่เต็มที ทุกคนต่างก็เสพสุขก่อนเป็นอันดับแรก แต่กลับไม่บริการรับใช้ผู้อื่นก่อนเป็นสำคัญ พึงรู้ว่าการบริการรับใช้ผู้อื่นคือจุดมุ่งหมายของชีวิต มีเพียงการบริการรับใช้สังคม สังคมจึงสามารถบังเกิดความสุขและความปรองดอง ชาวประชาจึงมีความแข็งแรงทางด้านจิตใจ แก่นแท้ของศาสนาอยู่ที่การเปิดปัญญาให้ผู้ที่ลุ่มหลงได้เกิดความตื่นแจ้ง กล่อมเกลาคนเขลาหลงให้เกิดปัญญา ดังนั้นพลังแห่งการกล่อมเกลาสั่งสอนจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้เลย ศาสนิกชนอาศัยพุทธะอริยเจ้าเป็นแบบอย่างที่ดีในการเจริญรอยปฏิบัติตาม อาศัยพระโอวาทที่เทพเซียนชี้แนะรวมทั้งพระสูตรคัมภีร์และคติธรรมต่างๆที่บรรพอริยเจ้าหลงเหลือไว้ให้มาเป็นบรรทัดฐานในการกล่อมเกลาสั่งสอน เริ่มต้นจากตัวเองศึกษาจนตื่นแจ้งด้วยตัวเองแล้วเกิดความศรัทธาเชื่อมั่น นำสิ่งที่ตัวเองสัมผัสรู้มาแบ่งปันกับมหาชนทั้งหลาย ดังนั้นจึงมีศาสดา ปราชญ์เมธี พระธรรมาจารย์ พระเถระ แตกแขนงออกมา แต่ทว่าปัจจุบันนี้ศาสนาต่างๆกลับมีพวกคนถ่อยสถุลปรากฏออกมาอยู่เสมอๆ การกระทำของคนชั่วเพียงแค่ไม่กี่คนกลับทำให้ผู้ที่บำเพ็ญปฏิบัติอย่างแท้จริงต่างพลอยได้รับความเสื่อมเสียไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการล่อลวงกามที่มีข่าวเผยแพร่ออกมาอยู่ไม่ขาดสาย พึงรู้ว่าผู้ที่สวมจีวรพระจะต้องปฏิบัติกิจของพุทธะ ดำรงตนอยู่ในเพศสมณะ อันดับแรกต้องรักษาศีล หากไม่ประครองรักษาศีลวินัยให้สะอาดอย่างเคร่งครัด แต่กลับทำเรื่องที่ชั่วช้า นั่นไม่ใช่ศิษย์สาวกของพระพุทธองค์ แต่นั่นเป็นสมุนของมาร ชาวโลกจะต้องรู้เอาไว้ว่าการอาศัยชื่อของธรรมะไปล่อลวงกามก็คือการปลูกเหตุแห่งอเวจี เมล็ดพันธ์อันปราศจากความเบาบางแห่งทุกข์ จะไม่ระวังหรือ! ระวังไว้เถอะ! ศิษย์เราจงออกจากร่าง
ชิวเซิง : ศิษย์คารวะพระอาจารย์
พุทธะจี้กง : รีบขึ้นบัลลังก์บัวเถอะ
ชิวเซิง : (ลมหนาวพัดจู่โจมระหว่างทาง มีหมอกบางๆเหมือนอยู่ท่ามกลางภูเขาสูง ตอนนี้รู้สึกคล้ายกับตัวเองเข้ามาในดินแดนแห่งความฝัน ทันใดนั้นเบื้องหน้าก็บังเกิดแสงสว่าง ปรากฏอาคารสิ่งปลูกสร้างดูคล้ายปราสาทราชวัง)
พุทธะจี้กง : ศิษย์เรา เจ้ารีบตามมาเร็ว (ภายในตำหนักมีขุนพลสองท่านเดินออกมาในทันใด)
ขุนพล : เบื้องหน้านี้คือท่านพุทธะจี้กงใช่หรือไม่?
พุทธะจี้กง : เราคือจี้เตียน นำพาพู่กันทรงมาท่องเที่ยวเพื่อประพันธ์หนังสือ
ขุนพล : ขอเชิญด้านในครับ นายทะเบียนคอยท่านอยู่นานแล้ว
ชิวเซิง : (ภายในตำหนักตกแต่งอย่างสง่างามอลังการ สร้างจากเงินและทองคำบริสุทธิ์ เบื้องหน้ามีชายฉกรรจ์คนหนึ่งอายุประมาณ 30-40 ปี พร้อมด้วยผู้เฒ่าท่านหนึ่งนั่งอยู่เบื้องล่าง)
พุทธะจี้กง : ศิษย์เรา เจ้ารีบคารวะนายทะเบียนเร็ว
ชิวเซิง : คารวะท่านนายทะเบียน
นายทะเบียน : ท่านเมธีไม่ต้องมากพิธี คารวะท่านพุทธะจี้กง
พุทธะจี้กง : ไม่ต้องมากพิธี ผู้นี้ใช่ “ชิวอาถู” หรือไม่?
นายทะเบียน : ใช่ครับ ผู้นี้ก็คือชิวอาถู
ชิวเซิง : สวัสดีครับคุณลุง ลูกของท่านที่อยู่บนโลกมนุษย์ ซึ่งก็คือศิษย์พี่ชิวผู้ร่วมบำเพ็ญของสำนักเราได้ฝากฝังให้ผู้น้อยมาเยี่ยมเยียนท่านเป็นกรณีพิเศษ แต่สีหน้าของท่านดูคล้ายกับว่ามีทั้งความยินดีและความกลัดกลุ้มระคนกัน ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด?
ชิวอาถู : ฉันดีใจที่คนในครอบครัวของฉันที่อยู่บนโลกมนุษย์กราบวอนขอให้ฉันสามารถได้รับการยกระดับเข้าไปเป็นผู้บำเพ็ญในสถานบำเพ็ญจิตญาณ“ฟ้าไพศาล แพรแถบสีม่วง” ตั้งใจบำเพ็ญฝึกฝนพุทธธรรม แต่ที่ฉันกลัดกลุ้มก็เพราะตลอดชีวิตฉันไม่เคยศรัทธาในพุทธธรรม ไม่เคยศึกษาพุทธธรรม ดังนั้นจึงมีทั้งความกลัดกลุ้มและความยินดีปะปนกัน
ชิวเซิง : ท่านผู้เฒ่าสบายใจเถอะ เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วก็จะมีอาจารย์เซียนมาสอนให้ ตอนนี้ขอให้ท่านปล่อยวางทุกอย่างลง
ชิวอาถู : ขอบคุณที่ให้กำลังใจ
ชิวเซิง : จริงสิ! นับตั้งแต่ตอนที่ท่านตายจนถึงตอนนี้ มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง?
ชิวเซิง : ตอนที่ฉันกำลังจะตาย ในใจมีแต่ความหวาดกลัว จิตใจไม่สงบ จนกระทั่งวิญญาณออกจากร่างมาอยู่ที่นรก หลังจากสอบสวนคดีในศาลจึงรู้ว่าลูกของฉันที่อยู่บนโลกมนุษย์ฉุดช่วยให้ฉันสามารถได้รับการยกระดับ ตอนนี้จิตใจของฉันสงบลงแล้ว
พุทธะจี้กง : เราควรจะไปเที่ยวนรกอเวจีกันได้แล้วนะ
ชิวเซิง : ยังมีข้อสงสัยอีกนิดหน่อย ขอความกรุณาท่านนายทะเบียนช่วยไขข้อสงสัยให้ด้วยครับ หลังจากที่คนตายแล้ว ร่างกายแข็งทื่อ แต่ทำไมผ่านไปหลายวันหลังจากที่ช่วยสวดพุทธนามให้แก่ผู้ตาย ศพที่แข็งทื่อนั้นก็สามารถอ่อนนิ่มลงได้?
นายทะเบียน : หลังจากที่คนตายแล้ว ตัวจะแข็ง นั่นก็เพราะมีความยึดติดหวาดกลัวทำให้จิตใจเกิดความไม่สงบ เมื่อช่วยสวดพุทธนามให้แก่ผู้ตาย วิญญาณของผู้ตายก็จะค่อยๆใสสะอาด ดังนั้นจิตใจจึงสงบลง สามารถปล่อยวางความยึดติด ทำให้สภาพศพอ่อนนิ่ม
ชิวเซิง : อย่างนี้ใช่หรือไม่ว่า วิญญาณสามารถได้ไปเกิดยังแดนวิสุทธิภูมิแล้ว?
นายทะเบียน : ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนั้น! ถ้าหากบุญ-บาปที่ทำไว้ตอนสมัยที่มีชีวิตอยู่นำมาหักลบกันแล้ว มีบุญเหลือมากพอที่จะได้รับการยกระดับ รับตำแหน่งเป็นเทพหรือพระภูมิเจ้าที่บนโลกมนุษย์ หลังจากที่ตายแล้วก็สามารถไปยังหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบโดยตรง ถ้าหากตอนที่มีชีวิตอยู่ไม่เชื่อในเรื่องเหตุต้นผลกรรม ไม่เชื่อเรื่องบุญ-บาป เมื่อตายแล้วก็จะต้องมารับการไต่สวนคดีในนรกภูมิ ถ้าไม่มีความผิดบาปอะไรมากมายก็สามารถที่จะได้ไปเกิดใหม่ตามเหตุปัจจัยที่ได้สร้างไว้ หรืออาจจะปล่อยให้เป็นวิญญาณอิสระอยู่ในโลกมนุษย์หรือยมโลก แต่ทั้งนี้อายุขัยต้องยังไม่หมดถึงจะสามารถได้รับสิทธิ์นี้ ถ้าหักลบกันแล้วบุญ-บาปพอๆกันก็ให้เข้าไปอยู่ในเขตแดนสามัญชนในยมโลก หรืออาจจะอาศัยปณิธานไปเกิดใหม่ในครอบครัวสามัญชนบนโลกมนุษย์ และถ้าหากเป็นผู้ที่มีบุญกุศลมากพอที่จะได้ขึ้นสวรรค์ แต่ญาติบนโลกมนุษย์กลับมีการฆ่าสัตว์มาเซ่นไหว้ดวงวิญญาณ หรือฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารเลี้ยงแขก ผู้ตายก็จะต้องลงนรกเพื่อรับการไต่สวนคดี หากตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วไม่ใช่เจตนารมณ์ของผู้ตายในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะได้ขึ้นสวรรค์โดยใช้ทางสามแพร่ง
ชิวเซิง : ขอบคุณท่านนายทะเบียนที่ชี้แนะ
(ศิษย์-อาจารย์ทั้งสองเดินทางต่อ จนกระทั่งมาถึงสถานที่ๆคุ้นเคย เซียนกวนและขุนพลเดินเข้ามา)
เซียนกวน : คารวะท่านพุทธะจี้กง
พุทธะจี้กง : ท่านเซียนกวนถ่อมตนแล้ว
ชิวเซิง : คารวะท่านเซียนกวนและท่านขุนพลทั้งสอง
เซียนกวน : ไม่ต้องมากพิธี เชิญด้านในเถอะ
ชิวเซิง : (เบื้องหน้ามีคนจำนวนหนึ่งกำลังถูกยักษ์เฆี่ยนตีด้วยแส้ บ้างถูกทุบตีด้วยเสาเข็ม บ้างถูกเสียบด้วยกระบองง่าม ยังเห็นอินทรีเหล็กกินหูและตาของพวกเขา หมาทองแดงกัดตับและปอดของพวกเขา งูเหล็กพันรัดคอของพวกเขา บ้างชอนไชเข้าไปในตาแล้วออกมาทางตา บ้างชอนไชเข้าไปในปากแล้วออกมาทางหู จากนั้นจึงพลิกตัวแล้วชอนไชเข้าไปในอวัยวะเพศ ชอนไชทะลุขึ้นไปกินสมองของพวกเขา ทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเวทนาสงสาร) ท่านเซียนกวนครับ คนเหล่านี้ทำบาปอะไรถึงต้องรับโทษเช่นนี้?
เซียนกวน : คนเหล่านี้ตอนที่มีชีวิตอยู่แอบอ้างชื่อของศาสนา หลอกลวงคนไปข่มขืนอย่างโหดร้ายทารุณจนสำเร็จความใคร่ เป็นการทำลายชื่อเสียงความน่าเชื่อถือของศาสนา ทำลายความศรัทธาอันถูกต้อง ท่านลองดูสิว่าพวกเขาเหล่านี้ทั้งหมดเป็นใครบ้าง?
ชิวเซิง : (สงบจิตแล้วตั้งใจมอง) ที่แท้มีทั้งพระสงฆ์ แม่ชี นักพรต ร่างทรง ผู้เผยแพร่คำสอน รวมทั้งบุคคลระดับชั้นผู้นำในองค์กรและคนอื่นๆที่น่าจะเป็นบุคลระดับกลางและระดับล่างในองค์กร
เซียนกวน : ไม่ผิด! คนเหล่านี้ทั้งหมดคือคนที่แอบอ้างชื่อของศาสนาไปทำเรื่องที่ผิดประเวณี (ชี้มือไปที่ขุนพลซึ่งกำลังนำตัวชายวัยกลางคนๆหนึ่งเข้ามา)
ชิวเซิง : ไม่ทราบว่าท่านทำบาปกรรมไว้อย่างไร? แล้วตอนที่มีชีวิตอยู่ทำอาชีพอะไร?
วิญญาณบาป : ฉันแซ่ไช่ เป็นปรมาจารย์ในยุคสมัยหนึ่ง เพราะว่าฉันมีนิสัยชอบหมกมุ่นในเรื่องกาม เฝ้าครุ่นคิดแต่เรื่องกาม แต่ก็ไม่ได้เสพสม ฉันเห็นในศาลเจ้ามีผู้หญิงเข้าๆออกๆเป็นประจำ ในใจจึงคิดวางแผน ฉันตัดสินใจโกนหัวตัวเองแล้วไปพักอาศัยอยู่ที่วัดเพื่อหาโอกาส แต่พระในวัดไม่อนุญาต ดังนั้นฉันจึงหาคนกลุ่มหนึ่งที่มีเป้าหมายเหมือนกับฉันมาฆ่าพระในวัดจนหมด แล้วติดตั้งกลไกลภายในศาลเจ้าเล็กน้อย เมื่อมีผู้หญิงเข้าไปในศาลเจ้าก็รอจังหวะที่คนอื่นๆเผลอ ไม่มีใครสนใจ แล้วค่อยเปิดกลไกให้กับดักทำงาน ทำให้ผู้หญิงตกลงไปในอุโมงค์ใต้ดินที่สร้างเอาไว้ แล้วพื้นก็กลับคืนสู่สภาพเดิมโดยที่ไม่มีใครรู้ วัดนี้ชื่อว่า “วัดหงเหลียน” ภายหลังวัดนี้ถูกหงกูทำลาย
ชิวเซิง : ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ควรรู้ว่าความชั่วทั้งปวงกามตัณหามาเป็นอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแอบอ้างศาสนาไปทำเรื่องที่ผิดประเวณี สุดวิสัยที่จะช่วยเหลืออะไรได้ ตอนนี้มีเพียงใช้จิตที่มีความเคารพศรัทธาจริงใจ ยินยอมรับการลงโทษ ที่เรียกว่า “สมัครใจรับ สมัครใจคืน” จำไว้นะอย่าลืม เราขอให้ท่านหลุดพ้นจากความทุกข์ในเร็ววัน สามารถขจัดกามตัณหาได้โดยเร็ว ท่านเซียนกวนครับ แล้ววิญญาณบาปจะเป็นอย่างไรต่อไปครับ?
เซียนกวน : ต้องเกิดเป็นสัตว์ทะเลหนึ่งแสนปี วัวนม 500 ชาติ โสเภณี 500 ชาติ เป็นคนต่ำต้อยอีก 500 ชาติ
ชิวเซิง : แล้วจะหลุดพ้นได้อย่างไร?
เซียนกวน : หากสามารถสำนึกขอขมากรรมด้วยจิตที่ศรัทธาจริงใจ ไม่ทำความผิดซ้ำ ก็สามารถลดโทษลง พ้นจากความทุกข์ได้รับความสุข
พุทธะจี้กง : กลับกันเถอะ
เซียนกวน : น้อมส่งพุทธะจี้กงและท่านพู่กันทรง
ชิวเซิง : ขอบคุณท่านเซียนกวนที่ช่วยอำนวยความสะดวก
พุทธะจี้กง : ถึงสำนักก่งเหิงถังแล้ว ศิษย์เราจงกลับเข้าร่าง
ชิวเซิง : ศิษย์น้อมส่งพระอาจารย์